ในบรรยากาศอันงดงามยามค่ำคืนริมฝั่งแม่น้ำโขงที่ส่องประกายด้วยแสงไฟนับร้อยดวง นางสาวชาบีดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ได้เป็นประธานเปิดงาน “มหกรรมไหลเรือไฟโบราณสักการะบูชาพระธาตุพนม เชื่อมวัฒนธรรมสองฝั่งโขง ประจำปี 2568” ณ ลานชมโขง หน้าโรงแรมธาตุพนมริเวอร์วิว อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม โดยมีนายประสพ เรียงเงิน ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม คณะผู้บริหาร วธ. ผู้แทนวัฒนธรรมจังหวัดภาคอีสาน หัวหน้าส่วนราชการ และประชาชนจำนวนมากมาร่วมสักการะและเฉลิมฉลองประเพณีเก่าแก่ที่สืบทอดมานานนับร้อยปี
งานไหลเรือไฟโบราณครั้งนี้ไม่ใช่แค่พิธีกรรมทางศาสนา แต่เป็นเวทีบูรณาการวัฒนธรรมไทย-ลาวที่ยิ่งใหญ่ โดยเริ่มต้นด้วยพิธีจุดรูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย สมาทานศีล เจริญพระพุทธมนต์ และถวายปัจจัยไทยธรรม จากนั้นผู้เข้าร่วมได้ร่วมพิธี “จ้ำเคราะห์” หรือสะเดาะเคราะห์ตามปีเกิดและนักษัตร เพื่อปัดเป่าความทุกข์โศกและสิ่งอัปมงคลตามความเชื่อโบราณที่ถ่ายทอดกันมารุ่นสู่รุ่น
ไฮไลต์ของค่ำคืนคือพิธีปล่อยเรือไฟโบราณจำนวน 12 ลำ สื่อถึง 12 นักษัตร เพื่อขอขมาพระแม่คงคาและนำสิ่งไม่ดีไหลไปกับสายน้ำโขง โดยมี “กระทงสาย” หรือกะโป๊ว และ “ไข่พญานาค” ลอยตามขบวน สร้างภาพอันตระการตาที่เชื่อมโยงสองฝั่งโขงระหว่างไทยและ สปป.ลาว ตามด้วยการแสดงฟ้อนรำพื้นบ้านจากกลุ่มแม่บ้านอำเภอธาตุพนม ที่นำเสนอเอกลักษณ์วัฒนธรรมอีสานอย่างงดงาม สร้างความประทับใจให้ผู้ชมทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ
นางสาวชาบีดา ไทยเศรษฐ์ กล่าวถึงความสำคัญของงานนี้ว่า “รัฐบาลมุ่งผลักดันวัฒนธรรมไทยสู่ระดับนานาชาติ เพื่อแสดงเอกลักษณ์ ความงดงาม และพลังศรัทธาของคนไทย มหกรรมไหลเรือไฟปีนี้ไม่ใช่แค่งานประเพณี แต่เป็นเวทีสะท้อนศักยภาพประเทศไทยในการใช้ ‘พลังวัฒนธรรม’ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สร้างการฟื้นฟูและกระจายรายได้สู่ชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม สอดคล้องกับนโยบาย ‘ไท ไทย’ ที่เปลี่ยนทุนวัฒนธรรมให้กลายเป็นรายได้จริง ผ่านการยกระดับท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม สินค้าท้องถิ่น และอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ครบวงจร”
รมว.วธ. ยังเน้นย้ำว่า ประเพณีไหลเรือไฟโบราณนี้เป็นต้นกำเนิดของเทศกาลลอยกระทงในภาคอีสาน จัดขึ้นช่วงออกพรรษาเพื่อบูชารอยพระพุทธบาท พญานาค พระแม่คงคา และขอพรให้บ้านเมืองสงบสุข โดยเชื่อมโยงประชาชนสองฝั่งโขงให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น “ดิฉันชื่นชมการจัดงานภายใต้โครงการยกระดับเทศกาลเรือไฟสู่เรือไฟโลกของจังหวัดนครพนม เพราะเป็นการสืบสานภูมิปัญญาโบราณสู่เศรษฐกิจสมัยใหม่ สร้างจุดขายท่องเที่ยวที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก” เธอกล่าว
กระทรวงวัฒนธรรมจะเดินหน้าสนับสนุนต่อเนื่อง โดยใช้ “ทุนทางวัฒนธรรม” และ “ความคิดสร้างสรรค์” ต่อยอดเป็นมูลค่าเศรษฐกิจ เช่น พัฒนาประเพณีไหลเรือไฟ การแสดงพื้นบ้าน และผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย (CPOT) ให้เป็นสินค้าท่องเที่ยวหลัก รวมถึงผลักดันพระธาตุพนมสู่การขึ้นทะเบียนมรดกโลก UNESCO เชื่อมเส้นทางท่องเที่ยวลุ่มน้ำโขง เพื่อยกระดับนครพนมเป็นศูนย์กลางวัฒนธรรม-เศรษฐกิจสร้างสรรค์ของภูมิภาค สร้างรายได้ยั่งยืนให้ชุมชนท้องถิ่น
หากคุณกำลังมองหาประสบการณ์ท่องเที่ยววัฒนธรรมที่ไม่เหมือนใคร อย่าพลาดมหกรรมไหลเรือไฟโบราณนครพนมปี 2568 ที่ผสานศรัทธา ศิลปะ และเศรษฐกิจเข้าไว้ด้วยกัน สร้างแรงบันดาลใจให้ “ROOT to RICH” จากรากเหง้าวัฒนธรรมสู่ความมั่งคั่งอนาคต!